เรียนการใช้งาน microsoft excel
พื้นฐานด้านต่างๆ
- การใส่สูตร
- การใช้ตัวเพิ่มลูกน้ำ
- การเรียงตัวเลขหรือเรียงลำดับงาน
-การจัดความกว้างของตาราง
-การใช้หัวตารางสำเร็จรูป
-การจัดตัวอักษรและตัวเลขในช่องตาราง
brgoodboy@gmail.com
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555
wifi กับ 3G บริการเน็ตเหมือนกัน แตกต่างกันอย่างไรทำไมต้อง 3G
ทำบทความนี้มาได้ต้องขอบใจน้องๆในfacebook ที่ตั้งคำถามมาและคิดว่าคงมีหลายคนสงสัยอยู่เลย เขียนขึ้น
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนนะครับที่ละอย่าง เริ่มเลย
Wi-Fi หรือ Wireless หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ระบบ เครือข่ายไร้สาย ( Wireless LAN : WLAN ) หมายถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ รวมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่าน อากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทยุ (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้
การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันใน การสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตรในพื้นที่โล่งและประมาณ 30 เมตรในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น
การเชื่อมต่อ เครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" หรือชนิดใหม่จะทำมาเป็นชนิด USB เรียกว่า Wireless USB ( รูปร่างเหมือน ThumDrive ) เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ
สรุปก็คือ การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน ( LAN ) ที่ใช้สายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่ อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณและใช้งานได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง
ถ้า้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ไปที่ ข้อมูล wifi แบบเต็มๆ
ส่วน 3G ถ้าพูดให้สั้นคือการเชื่อมต่อสัญญาณ internet ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
แต่ถ้าพูดแบบละเอียดแ้ล้ว 3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี
แล้วยุคที่ 1 กับ 2 ล่ะ
ยุค 1 เราเรียกว่า 1G หรือ GPRS ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้น ต่ำมากครับ จะอยู่ประมาณ 52 kbps. ซึ่งเอามาใช้งานในการส่งข้อมูลที่ไม่มากนัก ในมือถือยุคแรกๆ
ยุค 2 เราเรียกว่า 2G หรือ EDGE / CDMA ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้น พอใช้ได้ครับ จะอยู่ประมาณ 236-360 kbps.(ในบ้านเรา) ในบ้านเรา ณ ปัจจุบันทั่วประเทศ จะเป็นระบบ EDGE ครับเหมาะแก่การใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไปเน้นการใช้เน็ตหาข้อมูล อ่านข่าว โหลดเพลงฟัง ส่งไฟล์งานขนาดไม่ใหญ่มาก ส่งเมล์ เล่นเอ็มฯ
ยุค 3 เราเรียกว่า 3G หรือ HSDPA /E-VDO/ UMTS / HSPA / ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้นมีความสูงมาก อยู่ในระบบเดียวกับ อินเตอร์ Hi -speed (ADSL)จะอยู่ประมาณ 512Kbps.- 7.2 Mbps. เลยทีเดียว เป็นการรอรับ การใช้งานอินเตอร์ในปัจจุบันที่มีประมาณข้อมูลมากๆ คุณสามารถดูทีวีความระเอียดสูงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ได้เลยทีเดียว เล่นเกมส์ออนไลนื โหลดไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ การใช้งาน VDO-CALL ผ่านระบบ อินเตอร์เน็ต 3G ได้อย่างสบายๆ ทั่วโลก ใช้ระบบ 3G เป็นมาตราฐานในการใช้งานอินเตอร์ไร้สาย กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ในประเทศไทยเอง ก็เริ่มมีการใช้งานระบบนี้แล้วเช่นกัน จะพบเห็นได้ ตามหัวเมืองใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ และใน กรุงเทพเองก็มีการเปิดให้ทดลองใช้งานฟรี แล้วเช่นกัน โดยเริ่มมาตั้งแต่ ต้นปี 52 เป็นต้นมา โดย AIS TRUE DTAC TOT ความเร็วก็เริ่มตั้งแต่ 2 -7.2 Mbps. และกำลังมีการขยายระบบให้ครอบคุมทั่วประเทศใน 1-2 ปีข้างหน้า
ยุคที่ 4 ยังเป็นการอยู่ในช่วงทดลอง ระบบครับ ยังไม่มีข้อมูลมากนัก ลองหาค้นมูลผ่าน Google ดูเอาเอง
นิยาม (Definition)
โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า
• “ต้องมี แพลทฟอร์ม(Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเตอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
• “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming)” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
• “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service)” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ
• อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็ว
> มากกว่า 144 กิโลบิต/วินาที ในทุกสภาวะ
> ถึง 2 เมกกะบิต/วินาที ในสภาวะกึ่งเคลื่อนที่
> สูงถึง 384 กิโลบิต/วินาที ในสภาวะเคลื่อนที่
นั่น แหละครับคือนิยามที่ ITU ให้ความหมายไว้ อ้อยังมีอีกเรื่องก็คือ ITU ได้กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อความถี่วิทยุ ไว้ 5 มาตรฐานด้วยกันครับ ที่จำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานนั้นก็เพราะว่า ปัจจุบันผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายๆ ค่ายต่างพัฒนาได้รวดเร็วและหลากหลายวิธีการ ดังนั้นหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานผลเสียอาจจะไปตกที่ผู้บริโภคเนื่องจากไม่ สามารถใช้สินค้า (โทรศัพท์) เชื่อมต่อกันได้ และปัญหาที่สำคัญคือการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย และอุปกรณ์เครือข่าย เข้าเรื่องดีกว่ามาตรฐานการเชื่อมต่อคลื่นความถี่ของ IMT-2000 มีดังนี้ครับ
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่
เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”
คุณสมบัติหลักของ 3G คือ
มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล
ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC
ก็จบกันไปกับบทความนี้ หวังว่าคงได้ความรู้กันไม่มากก็น้อยนะครับ
สวัสดี
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนนะครับที่ละอย่าง เริ่มเลย
Wi-Fi หรือ Wireless หมายถึง เครือข่ายไร้สาย มักใช้กับระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ระบบ เครือข่ายไร้สาย ( Wireless LAN : WLAN ) หมายถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้การติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง หรือกลุ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกันได้ รวมถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกัน โดยปราศจากการใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ แต่จะใช้คลื่นวิทยุเป็นช่องทางการสื่อสารแทน การรับส่งข้อมูลระหว่างกันจะผ่านอากาศ ทำให้ไม่ต้องเดินสายสัญญาณ และติดตั้งใช้งานได้สะดวกขึ้น
ระบบเครือข่ายไร้สายใช้แม่เหล็กไฟฟ้าผ่าน อากาศ เพื่อรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์เครือข่าย โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้อาจเป็นคลื่นวิทยุ (Radio) หรืออินฟาเรด (Infrared) ก็ได้
การสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สายมีมาตราฐาน IEEE802.11 เป็นมาตราฐานกำหนดรูปแบบการสื่อสาร ซึ่งมาตราฐานแต่ละตัวจะบอกถึงความเร็วและคลื่นความถี่สัญญาณที่แตกต่างกันใน การสื่อสารข้อมูล เช่น 802.11b และ 802.11g ที่ความเร็ว 11 Mbps และ 54 Mbps ตามลำดับ และขอบเขตของสัญญาณคลอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100 เมตรในพื้นที่โล่งและประมาณ 30 เมตรในอาคาร ซึ่งระยะทางของสัญญาณมีผลกระทบจากสิ่งรอบข้างหลายๆ อย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ ความหนาของกำแพง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ รวมถึงร่างกายมนุษย์ด้วยเช่นกัน สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อการใช้งานเครือข่ายไร้สายทั้งสิ้น
การเชื่อมต่อ เครือข่ายไร้สายมี 2 รูปแบบ คือแบบ Ad-Hoc และ Infrastructure การใช้งานเครือข่ายไร้สายของผู้ใช้บริการทั่วไปจะเป็นแบบ Infrastructure คือมีอุปกรณ์กระจายสัญญาณ (Access Point) ของผู้ให้บริการเป็นผู้ติดตั้งและกระจายสัญญาณ ให้ผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อ โดยผู้ใช้บริการจะต้องมีอุปกรณ์รับส่งสัญญาณเรียกว่า "การ์ดแลนไร้สาย" หรือชนิดใหม่จะทำมาเป็นชนิด USB เรียกว่า Wireless USB ( รูปร่างเหมือน ThumDrive ) เป็นอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ไป Access Point ของผู้ให้บริการ
สรุปก็คือ การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายของเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย เหมือนกับระบบแลน ( LAN ) ที่ใช้สายปกติ แตกต่างที่อุปกรณ์ทางกายภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายไม่ต้องใช้สายสัญญาณแต่ อย่างใด โดยการใช้งานเครือข่ายไร้สายสามารถใช้บริการต่างๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เหมือนเครือข่ายมีสายได้ปกติ เว้นแต่ว่าผู้ดูแลระบบเครือข่ายนั้นๆ จะปิดบริการบางบริการเพื่อความปลอดภัยของเครือข่ายได้เช่นกัน ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายช่วยให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น ประหยัดค่าสายสัญญาณและใช้งานได้ทุกที่ ที่มีสัญญาณเครือข่ายไร้สายไปถึง
ถ้า้ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ไปที่ ข้อมูล wifi แบบเต็มๆ
ส่วน 3G ถ้าพูดให้สั้นคือการเชื่อมต่อสัญญาณ internet ผ่านระบบโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
แต่ถ้าพูดแบบละเอียดแ้ล้ว 3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต
3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น
ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี
แล้วยุคที่ 1 กับ 2 ล่ะ
ยุค 1 เราเรียกว่า 1G หรือ GPRS ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้น ต่ำมากครับ จะอยู่ประมาณ 52 kbps. ซึ่งเอามาใช้งานในการส่งข้อมูลที่ไม่มากนัก ในมือถือยุคแรกๆ
ยุค 2 เราเรียกว่า 2G หรือ EDGE / CDMA ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้น พอใช้ได้ครับ จะอยู่ประมาณ 236-360 kbps.(ในบ้านเรา) ในบ้านเรา ณ ปัจจุบันทั่วประเทศ จะเป็นระบบ EDGE ครับเหมาะแก่การใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไปเน้นการใช้เน็ตหาข้อมูล อ่านข่าว โหลดเพลงฟัง ส่งไฟล์งานขนาดไม่ใหญ่มาก ส่งเมล์ เล่นเอ็มฯ
ยุค 3 เราเรียกว่า 3G หรือ HSDPA /E-VDO/ UMTS / HSPA / ความเร็วของอินเตอร์เน็ตที่ได้นั้นมีความสูงมาก อยู่ในระบบเดียวกับ อินเตอร์ Hi -speed (ADSL)จะอยู่ประมาณ 512Kbps.- 7.2 Mbps. เลยทีเดียว เป็นการรอรับ การใช้งานอินเตอร์ในปัจจุบันที่มีประมาณข้อมูลมากๆ คุณสามารถดูทีวีความระเอียดสูงผ่านทางอินเตอร์เน็ต ได้เลยทีเดียว เล่นเกมส์ออนไลนื โหลดไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ การใช้งาน VDO-CALL ผ่านระบบ อินเตอร์เน็ต 3G ได้อย่างสบายๆ ทั่วโลก ใช้ระบบ 3G เป็นมาตราฐานในการใช้งานอินเตอร์ไร้สาย กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ในประเทศไทยเอง ก็เริ่มมีการใช้งานระบบนี้แล้วเช่นกัน จะพบเห็นได้ ตามหัวเมืองใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ และใน กรุงเทพเองก็มีการเปิดให้ทดลองใช้งานฟรี แล้วเช่นกัน โดยเริ่มมาตั้งแต่ ต้นปี 52 เป็นต้นมา โดย AIS TRUE DTAC TOT ความเร็วก็เริ่มตั้งแต่ 2 -7.2 Mbps. และกำลังมีการขยายระบบให้ครอบคุมทั่วประเทศใน 1-2 ปีข้างหน้า
ยุคที่ 4 ยังเป็นการอยู่ในช่วงทดลอง ระบบครับ ยังไม่มีข้อมูลมากนัก ลองหาค้นมูลผ่าน Google ดูเอาเอง
นิยาม (Definition)
โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สาม หรือมาตรฐาน IMT-2000 นั้นนิยามสั้นๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า
• “ต้องมี แพลทฟอร์ม(Platform) สำหรับการหลอมรวมของบริการต่างๆ อาทิ กิจการประจำที่ (Fixed Service) กิจการเคลื่อนที่ (Mobile Service) บริการสื่อสารเสียง ข้อมูล อินเตอร์เน็ต และ พหุสื่อ (Multimedia) เป็นไปในทิศทางเดียวกัน” คือ สามารถถ่ายเท ส่งต่อข้อมูล ดิจิตอล ไปยังอุปกรณ์โทรคมนาคมประเภทต่างๆ ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้
• “ความสามารถในการใช้โครงข่ายทั่วโลก (Global Roaming)” คือ ผู้บริโภคสามารถ ถืออุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง
• “บริการที่ไม่ขาดตอน (Seamless Delivery Service)” คือ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยน เซลล์ไซต์ (Cell Site) เขาใช้คำว่า Seam less นั้นแปลว่า ไร้รอยตะเข็บนะครับ
• อัตราความเร็วในการส่งข้อมูล (Transmission Rate) ในมาตรฐาน IMT-2000 นั้นกำหนดไว้ว่าต้องมีอัตราความเร็ว
> มากกว่า 144 กิโลบิต/วินาที ในทุกสภาวะ
> ถึง 2 เมกกะบิต/วินาที ในสภาวะกึ่งเคลื่อนที่
> สูงถึง 384 กิโลบิต/วินาที ในสภาวะเคลื่อนที่
นั่น แหละครับคือนิยามที่ ITU ให้ความหมายไว้ อ้อยังมีอีกเรื่องก็คือ ITU ได้กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อความถี่วิทยุ ไว้ 5 มาตรฐานด้วยกันครับ ที่จำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานนั้นก็เพราะว่า ปัจจุบันผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายๆ ค่ายต่างพัฒนาได้รวดเร็วและหลากหลายวิธีการ ดังนั้นหากไม่มีการกำหนดมาตรฐานผลเสียอาจจะไปตกที่ผู้บริโภคเนื่องจากไม่ สามารถใช้สินค้า (โทรศัพท์) เชื่อมต่อกันได้ และปัญหาที่สำคัญคือการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย และอุปกรณ์เครือข่าย เข้าเรื่องดีกว่ามาตรฐานการเชื่อมต่อคลื่นความถี่ของ IMT-2000 มีดังนี้ครับ
3G น่าสนใจอย่างไร
จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่
เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On”
คุณสมบัติหลักของ 3G คือ
มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล
ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC
ก็จบกันไปกับบทความนี้ หวังว่าคงได้ความรู้กันไม่มากก็น้อยนะครับ
สวัสดี
วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555
เรียนคอมพิวเตอร์สัปดาห์ที่สาม-เทคนิคการใช้โปรแกรม photoshop cs3 ตอนที่ 2
ต้องเขียนเป็นตอนที่ 2 เพราะเทคนิคที่ผมได้ใช้ในงานแต่งภาพนั้นมีค่อนข้างเยอะ ก็เอามาจากเวบนะครับ แต่ก็เป็นเทคนิคที่ผมได้ใช้จริงด้วยก็เลยยกมา มาต่อกันเลยดีกว่า
[13]เทคนิคการลบพื้นหลัง บางทีเราต้องการนำส่วนประกอบไปใช้กับภาพอื่นๆ ก็สามารถทำได้หลายวิธีแต่วิธี ยังไงใครมีวิธีอื่นเด็ดก็ส่งมากันได้ครับ มาดูวิธีการทำเลยดีกว่า
ขั้นตอนการทำ
1. เปิดภาพที่เราต้องการลบพื้นหลังขึ้นมา
2. ให้เราปลดล็อครูปภาพก่อนโดย Double Click ที่รูปกุญแจที่ Layer ของรูปภาพ แล้วกด OK
3. หลังจากนั้นให้เราเลือกเครื่องมือ Color Range โดยเข้าไปที่เมนู Select --> Color Range หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เรากำนดขอบเขตที่เราจะลบ
4. หลังจากที่เรากด OK โปรแกรมก็จะกำหนดขอบเขตโดย Selection
5. หลังจากนั้นกด Delete แล้วก็ทำซ้ำแบบเดิมไปเรื่อย (แต่อย่าลืมยกเลิกเส้น Selection แล้วค่อยทำขั้นตอนซ้ำ)
6. เพียงเท่านี้เราก็สามารถเลือกลบเอาส่วนที่เราไม่ต้องการได้แ้ล้ว ดังภาพ
7. ลองนำเทนนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ
[14] สร้างตัวอักษร เบลอ
1.ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็นการตกแต่งตัวหนังสือโดยใช้เครื่องมือ Blur Tool ขั้นตอนแรก เปิดงานใหม่ขึ้นมา 1 งานทำการเทสีพื้นหลังลงไป ดังรูป พิมพ์ตัวอักษรลงไป
เืมื่อพิมพ์ตัวอักษรลงไปแ้ล้วให้เลือกที่ Layer ของตัวอักษรแล้วคลิกเม้าท์ขวาแล้วเลือกที่ Rasterize Layer เพื่อทำการเลี่ยนโหมดตัวอักษรให้อยู่ในโหมดของรูปภาำพ ดังรูป
2.เลือกเครื่องมือ Blur Tool
4.เมื่อ Click จนทั่วตัวอักษรแล้วเราก็จะำได้ ภาพตัวอักษรที่มีลักษณะเบลอๆ กันแล้ว ดังรูป
ยังมีขั้นตอนการทำเบลออีกวิธีหนึ่งโดยการกำหนดค่าความเบลอของภาพได้ที่ Filter/Blur แล้วเลือก Blur หรือ Blur more โปรแกรมก็จะปรับภาพให้เป็นภาพเบลอเอง
[15]การระบายสีภาำพโดยใช้เครื่องมือ Brush Tool
1.เลือกภาพที่ต้องการระบาย แล้วเปิดไฟล์ภาำพนั้นขึ้นมา
2.เลือกส่วนของภาพที่เราต้องการระบายสี โดยใช้เครื่องมือ Lasso หรือเครื่องมือ Marquee เพื่อเลือก Select เฉพาะส่วนของรูปก็ได้แล้วแต่ความถนัด
3.เมื่อเลือกส่วนที่ต้องการระบายได้แล้ว ก็ทำการเลือกเครื่องมือ Brush Tool แล้วเลืิอก Foreground Color โดยสามารถเลือก Foreground color ได้ที่ีี่แถบเครื่อง แล้วเลือกสีที่ต้องการ
แล้วนำเครื่องมือ Brush Tool ไประบายในส่วนที่เรา Select ไว้ เึครื่องมือ Brush Tool จะเลือกระบายสีในเฉพาะ่ส่วนที่เราได้ Select ไว้เท่านั้น เพิ่ม-ลด ความหนาของการลงสีที่ Opacity ที่แถบ Option ด้านบนนะคะ
4.เมื่อระบายภาพเสร็จแล้วเราก็จะำได้ภาพที่มีความสวยแตกต่างจากภาพเดิม ท่านสามารถแก้ไขเพิ่มเติมภาพที่ได้นั้นใหม่้ก็ได้แล้วแต่ความต้องการ หรือสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตกแต่งภาพอื่นๆก็ได้
[16]การใช้เครื่องมือ Clone Stamp Tool
เครื่องมือ Clone Stamp จะนิยมใช้ในการรีทัชภาพ ลบริ้วรอยต่าง ๆ โดยใช้หลักการ ทำสำเนาภาพจากจุดหนึ่งไปยัง
อีกจุดหนึ่ง เป็นการยืมภาพจากบริเวณด้านข้างมาใช้
1.เปิดไฟล์ภาำพที่ต้องการขึ้นมา จะเห็นว่าภาพนั้นมีข้อความอยู่ ซึ่งเราไม่ต้องการ เราก็เริ่มจัดการลบข้อความส่วนเกินนั้นออก ดังนี้
2.เลือกเครื่ืองมือ Clone Stamp Tool ที่แถบเครื่องมือ นำเครื่องมือ Clone Stamp ไปวางไว้ในส่วนที่เราต้องการ โดยการกด Alt+Click เพื่อเป็นการเก็บรายละเอียดของส่วนที่เราต้องการ แล้วนำมาแก้ไขส่วนเกินที่เราไม่ต้องการออก แล้วก็ใช้เครื่องมือ Clone Stamp คลิกทับบริเวณที่เราไม่ต้องการนั้น ส่วนที่เราไม่ต้องการนั้นก็จะหายไป
ซึ่งเราสามารถปรับขนาดของ Clone Stamp ตามต้องการได้ที่ เมนูบาร์
เพียงเท่านี้ส่วนเกินที่เราไม่ต้องการบนภาพก็จะหายไป
[17] การทำ mosaic เพื่อการ เซ็นเซอร์ภาพ
การทำ mosaic เพื่อการเซ็นเซอร์ให้กับภาพ
1. เตรีียมภาพที่ต้องการเซ็นเซอร์ขึ้นมา
2. ใช้ Rectangular Marquee Tool ครอบจุดที่ต้องการ เซ็นเซอร์
3. ไปที่ Filter > Pixelate > Mosaic
4. จากนั้นจะมี Tool มาให้เลือกว่าจะทำ Mosaic ให้หนา หรือ บางแค่ไหน แล้วกด OK
5. เท่านี้เราก็จะได้ ภาพ เซ็นเซอร์แบบ mosaic แล้วล่ะครับ
[18] การใช้เครื่องมือ Gradint Tool
การใช้งาน Gradint Tool
ขั้นตอนแรกของ Gradint Tool นั้นอยู่ก่อนที่จะเลือกใช้ งาน Gradint Tool ด้วยซ้ำไปครับ แต่กลับไปอยู่ที่การเลือก Foreground และ Background ให้เป็นคนละสีกันเท่านั้นนะครับ
ตัวอย่าง ผม ทำเป็นสี มาตรฐานให้ดูกันง่ายๆนะครับ คือ สีดำ กับ สีขาว
ต่อมา ไปที่ถังสี และคลิกขวา เปลี่ยน ถังสีให้เป็น Gradint Tool (บางเครื่องจะเป็น Gradint Tool อยู่แล้วแต่ปรกติ ค่า Default จะเป็น ถังสี ครับ)
จากนั้นรูปแบบของ เมาส์จะกลายเป็น กากะบาท จะต่างจาก กากะบาทของ Rectangular Marquee Tool นิดหน่อยตรงที่มี จุดหัวท้าย
เมนูด้านบนคือ
ถ้าเลือกอันแรก แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 2 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 3 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 4 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 5 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
คงจะไม่ยากนะครับ
[19]
เทคนิคการทำภาพถ่าย กลาย เป็นภาพ เขียน สีน้ำ ด้วย Photoshop 7.0
มาทำภาพถ่ายให้กลายเป็นภาพ สีน้ำ กันเถอะ
1.เตรียมภาพที่ต้องการใช้ขึ้นมา
2. ไปที่ Filter > Artistic > Paint Daubs
2. ปรับ ระดับ สีแปรง และ ความละเอียดตามความต้องการ
3. แค่นี้ก็จะได้ ภาพ เขียนสีน้ำ จากภาพภ่ายแล้วครับ
[20] การทำแว่นขยายด้วย Photoshop
1. เตรียมภาพที่ต้องการใช้งาน มาก่อนเลยครับ เป็นรูปใหญ่ๆ นะครับ อันนี้ผมย่อให้ดูเป็นตัวอย่างเฉยๆ
2. เตรียมรูปแว่นขยายไว้ ไดคัดให้เรียบร้อย
3. นำรูปแว่นขยายไว้ด้านหน้ารูป
4. ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Layar รูปแว่นขยาย เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมา Blend Mode เลือก Multiply เลือกสีดำ Opacity = 59 % Distance = 3px Size = 6 px
5. ใช้ Eliptical Marquee Tool ทำ Selection ด้านในกด Ctrlc + C และ Ctrl+v เพื่อทำให้รูปอยู่ใน Layer ใหม่
6. เลือก Move-Tool แล้วเลือก Show Bounding Box จากนั้นไปที่ select > inverse selection แล้ว ย่อรูปรอบนอก
7 . เลือกดับเิบิ้ลคลิกที่ Layer 3 (ที่เป็นกลม ๆ อย่างเดียวอ่ะครับ) เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก Blend Mode เลือก Normal Opacity = 51% Distance = 5px Size = 50 px จากนั้นเลือก Stroke เลือก Size 6 เลือก สีดำ
8. จากนั้นทำเงาสะท้อนด้วยการเปิด Layer ใหม่มาอีก 1 Layer ใช้ Eliptical Marquee Tool ทำ Selection เป็นวงรีด้านหน้าสุด จากนั้นใส่สีขาวลงไป
9. จากนั้นตัดให้พอดีกับขอบกับแว่นขยาย จากนั้นดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Layer นี้ เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก
ผลลัพท์ จะได้ดังนี้ครับ
**** ถ้าท่านต้องการรูป แว่นขยายแบบเดียวกับผม ดาวน์โหลดที่นี่ครับ Download
[21]กระดาษปลิว ด้วย Photoshop
1. Ctrl + N เพื่อเปิด เอกสารใหม่ขึ้นมาเลือก Contents เป็น White
2. นำภาพที่ต้องการใช้งานมาวางไว้
3. เปิด Layerใหม่ ขึ้นมาด้านล่างรูปที่ต้องการใช้ลงสีขาวใน Layer นี้
4. ใน Layer นี้ใช้ Reatangular Marquee Tool ลากทำ Selaction ด้านนอกของรูปภาพจากนั้นกด Ctrl + Alt +I เพื่อ Inverse จุด Selaction ให้อยู่รอบนอก แล้วกด Delete
ผลของ Ctrl + Alt +I
5. กลับขึ้นไปที่ Layer ที่เป็นรูป กด Ctrl+E เพื่อ Merge Down (รวมภาพ) กับภาพสีขาวที่ทำไว้เมื่อกครู่
ผลของ Ctrl + E
6. ดับเบิ้ลคลิก ที่ Layer นี้เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก Drop Shadow ปรับแต่งเงาตามใจชอบเลยครับ
ปรับ Layer style
ผลของการใส่ Layer style
7. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Perspective ดึงช่วงล่างเล็กน้อย
ดึงจากมุมภาพเพียงเล็กน้อยพอนะครับ
ผลของการดึงภาพ
8. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Rotate 90 CW
ผลของ Edit > Transform > Rotate 90 CW
9. จากนั้นไปที่ Filter > Distort > Shear และจากนั้นปรับความ โค้งงอ ของภาพตามต้องการ
ส่วนของ Shear
ผลของ Shear
10. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Rotate 90 CW อีกครั้ง เพื่อให้ภาพกลับมาเป็นแนวนอนเหมือนเดิม
แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ
คุณอาจปรับแต่ง background ใหม่ตามชอบเลยนะครับ
[22]
การทำภาพขาว - ดำ ให้เป็นภาพสี
1. เตรียมภาพขาวดำ ที่ต้องการเปลี่ยนเป็นภาพสีขึ้นมา
2. ใช้ Pen Tool ทำ Selection ในส่วนใบหน้าและจุจอื่นที่ต้องการให้เป็นสีเนื้อ
3. จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีที่ใกล้เคียงสีเนื้อของผิวคน จากนั้นไปที่ในส่วนของ Layer เพื่อเพิ่ม Layer ใหม่และไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ ด้านใน จุด Selection ที่ทำไว้อยู่ใน Layer ใหม่นะครับ
จากนั้นมาเพิ่ม Layer
เมื่อเทสีลงไปจะเห็นภาพแบบนี้
4. เปลี่ยนค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color
เมื่อเปลี่ยนค่า Blending
5. จากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ใส่วนของตาและปากใน Layer ที่เป็นสีเนื้อและกด Delete
เมื่อตัดส่วนตาและปากออก
6. จากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ใส่วนของปากเพิ่ม Layer ใหม่ ไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีที่ใกล้เคียงสีของปากคนแล้วไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ ด้านในจุด Selection ที่ทำไว้ อยู่ใน Layer ใหม่นะครับ
จากนั้นมาสร้าง Layer ใหม่
มาเลือกสี
หลังจากนั้นก็เทสีลงไป
7. เปลี่ยนค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color เช่นกันจากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ในส่วนเส้นผม
ผลจากการเปลี่ยนค่า Blending
ทำ Selection
8. จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีของเส้นผม เพิ่ม Layer ใหม่ แล้วไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ด้านใน จุด Selection ที่ทำไว้อยู่ใน Layer ใหม่นะครับเปลี่ยน ค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color เช่นกัน
หลังจากนั้นให้สร้าง Layer ใหม่
เปลี่ยนค่า Blending
ผลของการเปลี่ยนค่า Blending
9. จากนั้นกลับไปที่ Layer ที่เป็นส่วนของสีผิว กด Ctrl+U เพื่อปรับสีผิวให้สดใสมากขึ้น
การ Hue สี
ผลลัพธ์ของการ Hue
10. จากนั้นกลับไปที่ Layer ที่เป็นส่วนของปาก กด Ctrl+U เพื่อปรับสีปากให้สดใสมากขึ้น
กด Ctrl+U และ Hue
ผลของการ Hue
11. จากนั้นกลับไปที่ Layer ในส่วนของเส้นผม ไปที่ Select > Color Range ใช้ Eyrdroppel Tool เลือกจุด Selection ที่เส้นผม (Color Range จะทำ Selection ให้โดย อัตโนมัติ ไม่ต้องสนใจว่า Selection จะเกินเส้นผมหรือไม่ เพราะ Layer นี้เรามีแต่เส้นผมอยู่แล้วครับ) แ้ล้วกด Ctrl+U เพื่อปรับสีผมให้สดใสมากยิ่งขึ้น
Select > Color Range
เลือกจุด Selection ด้วย Color Range
ผลของ Color Range
ผลของการปรับสี
12. ตอนนี้ ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า สีผิวนั้นอาจจะยังไม่ค่อยเนียนนะครับ ให้เพิ่ม Layer มา 1 Layer โดย Layer นี้ให้ปรับ Opacity ประมาณ 25% นะครับอยู่หน้า Layer สีผิว จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีในลักษณะ สีรองพื้น (ของแ้ป้งพับ เช่น สีออก น้ำตาล แดง หรือสีที่ใกล้เคียงสีเนื้อ)
เลือกสี
ปรับ Opacity
13 ใช้เครื่องมือ Bush Tool ปรับ Opacity : ประมาณ 26% เลือก Bush แบบฟุ้งแล้วค่อยๆ ระบายที่สีผิว
จากนั้นเปรียบเทียบรูปกับรูปต้นฉบับนะครับ
Before (รูปต้นฉบับ)
After (รูปทีีทำการเปลี่ยนสี)
[23]เปลี่ยนสีมะเขือเทศในพริบตาด้วย Color Replacement
ขั้นตอนที่ 1
เปิดโปรแกรม Adobe Photoshop CS ขึ้นมา จากนั้นก็ไปเปิดไฟล์รูปภาพที่ต้องการจะแก้ไขสีของรูปภาพขึ้นมา โดยการคลิ้กที่เมนูคำสั่ง File > Open... จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Open ให้คลิ้กเลือกโฟลเดอร์และเลือกรูปภาพที่ต้องการ เมื่อได้รูปภาพที่แล้วให้คลิ้กปุ่ม Open
ขั้นตอนที่ 2 :
เมื่อแสดงรูปภาพที่ต้องการในหน้าต่างโปรแกรมแล้ว ให้ไปคลิ้กเลือกสีที่ต้องการจะแทนที่สีเดิม ในส่วน ฟอร์กราวนด์ จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Color Picker เพื่อคลิ้กเลือกเฉดสีที่ต้องการ เมื่อได้สีที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ให้ไปคลิ้กปุ่ม OK
ขั้นตอนที่ 3 :
ให้ไปคลิ้กที่เครื่องมือ Color Replacement Tool จากส่วน Tools ในส่วนนี้จะมีเครื่องมืออยู่ 3 ส่วนอาจแสดงส่วนใดส่วนหนึ่ง ได้แก่ Healing Brush Tool, Patch Tool, Color Replacement Tool
ขั้นตอนที่ 4 :
ก็มาถึงเวลาที่สำคัญในการแปลงโฉมมะเขือเทศของเราแล้ว โดยให้ใช้เครื่องมือ Color Replacement Tool ป้ายลงไปบนพื้นผิวของรูปภาพที่ต้องการ แต่หากเคอร์เซอร์เป็นรูปเครื่องหมายวงกลมแล้วมีขีดขวาง (Image-005.jpg) ต้องไปเปลี่ยนโหมดของรูปภาพให้เป็น RGB Color เสียก่อนโดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง Image > Mode > RGB Color
ขั้นตอนที่ 5 :
ค่อยๆ ใช้เมาส์ละเลงสีไปเรื่อยๆ เมื่อใช้เมาส์ระบายหรือป้ายสีลงบนผลมะเขือเทศจนทั่วถึง เรียกว่าหาสีเดิมไม่เจอแล้ว คราวนี้ก็จะได้สีใหม่ของมะเขือเทศเป็นผลใหม่ไฉไลกว่าเดิมทันที อาจเมื่อยมือบ้างแต่ก็สนุกดีใช่มั้ยครับ
[24]
Smart Tip แต่งภาพ: ลดความสว่างส่วนเกิน
ภาพถ่ายที่สว่างเกินไป (Overexposed) จะสูญเสียรายละเอียดในส่วนที่สว่างไปอย่างที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ดังนั้นการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลให้เผื่อให้มืดเล็กน้อย ดีกว่าที่จะให้ภาพสว่างเกินไป
ในตัวอย่างนี้ บริเวณที่เราสนใจคือเรือสว่างจนขาว เราพอจะช่วยให้ภาพนี้ดูดีขึ้นได้โดยการลดความสว่างลง แต่ถ้าเราลดความสว่างทั้งภาพ ก็จะทำให้บางส่วนมืดดำไปเลย ด้วยวิธีนี้เราสามารถเลือกลดความส่วนเฉพาะส่วนที่สว่างมากๆ ได้
1. เมื่อเปิดภาพที่จะแก้ไขขึ้นมาแล้ว กดคีย์ Ctrl+Alt+~ เพื่อเลือกเฉพาะส่วนที่สว่างขึ้นมา จะเห็นกรอบเส้นประในบริเวณที่เลือก
2. กดคีย์ Ctrl+J เพื่อคัดลอกเลเยอร์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งในเลเยอร์ที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ จะมีเฉพาะส่วนสว่างของภาพที่เลือกไว้ติดมาเท่านั้น
3. คลิกเลือกเลเยอร์ใหม่นี้ แล้วปรับความสว่างโดยใช้เครื่องมือ Levels โดยเลือกที่ Image > Adjustments > Layers
4. ปรับลดความสว่างโดยลากหัวลูกศรสีเทา (อันกลาง) ไปทางขวา ดูผลลัพธ์ที่ได้จนพอใจแล้วคลิกปุ่ม OK ก็จะได้ภาพที่มีรายละเอียดดีขึ้น
[25]
หลักๆก็มีเพียงเท่านี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ
[13]เทคนิคการลบพื้นหลัง บางทีเราต้องการนำส่วนประกอบไปใช้กับภาพอื่นๆ ก็สามารถทำได้หลายวิธีแต่วิธี ยังไงใครมีวิธีอื่นเด็ดก็ส่งมากันได้ครับ มาดูวิธีการทำเลยดีกว่า
ขั้นตอนการทำ
1. เปิดภาพที่เราต้องการลบพื้นหลังขึ้นมา
2. ให้เราปลดล็อครูปภาพก่อนโดย Double Click ที่รูปกุญแจที่ Layer ของรูปภาพ แล้วกด OK
3. หลังจากนั้นให้เราเลือกเครื่องมือ Color Range โดยเข้าไปที่เมนู Select --> Color Range หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เรากำนดขอบเขตที่เราจะลบ
4. หลังจากที่เรากด OK โปรแกรมก็จะกำหนดขอบเขตโดย Selection
5. หลังจากนั้นกด Delete แล้วก็ทำซ้ำแบบเดิมไปเรื่อย (แต่อย่าลืมยกเลิกเส้น Selection แล้วค่อยทำขั้นตอนซ้ำ)
6. เพียงเท่านี้เราก็สามารถเลือกลบเอาส่วนที่เราไม่ต้องการได้แ้ล้ว ดังภาพ
7. ลองนำเทนนิคนี้ไปใช้กันดูนะครับ
[14] สร้างตัวอักษร เบลอ
1.ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็นการตกแต่งตัวหนังสือโดยใช้เครื่องมือ Blur Tool ขั้นตอนแรก เปิดงานใหม่ขึ้นมา 1 งานทำการเทสีพื้นหลังลงไป ดังรูป พิมพ์ตัวอักษรลงไป
เืมื่อพิมพ์ตัวอักษรลงไปแ้ล้วให้เลือกที่ Layer ของตัวอักษรแล้วคลิกเม้าท์ขวาแล้วเลือกที่ Rasterize Layer เพื่อทำการเลี่ยนโหมดตัวอักษรให้อยู่ในโหมดของรูปภาำพ ดังรูป
2.เลือกเครื่องมือ Blur Tool
เราสามารถปรับขนาดหัวแปรงตามต้องการได้ที่ เมนูบาร์
3.นำ Blur Tool เลือก Layer ที่ต้องการทำให้เบลอ แล้ว Click ที่ตัวอักษรนั้นทำการ Click จนทั่วตัวอักษร 4.เมื่อ Click จนทั่วตัวอักษรแล้วเราก็จะำได้ ภาพตัวอักษรที่มีลักษณะเบลอๆ กันแล้ว ดังรูป
ยังมีขั้นตอนการทำเบลออีกวิธีหนึ่งโดยการกำหนดค่าความเบลอของภาพได้ที่ Filter/Blur แล้วเลือก Blur หรือ Blur more โปรแกรมก็จะปรับภาพให้เป็นภาพเบลอเอง
[15]การระบายสีภาำพโดยใช้เครื่องมือ Brush Tool
1.เลือกภาพที่ต้องการระบาย แล้วเปิดไฟล์ภาำพนั้นขึ้นมา
2.เลือกส่วนของภาพที่เราต้องการระบายสี โดยใช้เครื่องมือ Lasso หรือเครื่องมือ Marquee เพื่อเลือก Select เฉพาะส่วนของรูปก็ได้แล้วแต่ความถนัด
3.เมื่อเลือกส่วนที่ต้องการระบายได้แล้ว ก็ทำการเลือกเครื่องมือ Brush Tool แล้วเลืิอก Foreground Color โดยสามารถเลือก Foreground color ได้ที่ีี่แถบเครื่อง แล้วเลือกสีที่ต้องการ
แล้วนำเครื่องมือ Brush Tool ไประบายในส่วนที่เรา Select ไว้ เึครื่องมือ Brush Tool จะเลือกระบายสีในเฉพาะ่ส่วนที่เราได้ Select ไว้เท่านั้น เพิ่ม-ลด ความหนาของการลงสีที่ Opacity ที่แถบ Option ด้านบนนะคะ
4.เมื่อระบายภาพเสร็จแล้วเราก็จะำได้ภาพที่มีความสวยแตกต่างจากภาพเดิม ท่านสามารถแก้ไขเพิ่มเติมภาพที่ได้นั้นใหม่้ก็ได้แล้วแต่ความต้องการ หรือสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตกแต่งภาพอื่นๆก็ได้
[16]การใช้เครื่องมือ Clone Stamp Tool
เครื่องมือ Clone Stamp จะนิยมใช้ในการรีทัชภาพ ลบริ้วรอยต่าง ๆ โดยใช้หลักการ ทำสำเนาภาพจากจุดหนึ่งไปยัง
อีกจุดหนึ่ง เป็นการยืมภาพจากบริเวณด้านข้างมาใช้
1.เปิดไฟล์ภาำพที่ต้องการขึ้นมา จะเห็นว่าภาพนั้นมีข้อความอยู่ ซึ่งเราไม่ต้องการ เราก็เริ่มจัดการลบข้อความส่วนเกินนั้นออก ดังนี้
2.เลือกเครื่ืองมือ Clone Stamp Tool ที่แถบเครื่องมือ นำเครื่องมือ Clone Stamp ไปวางไว้ในส่วนที่เราต้องการ โดยการกด Alt+Click เพื่อเป็นการเก็บรายละเอียดของส่วนที่เราต้องการ แล้วนำมาแก้ไขส่วนเกินที่เราไม่ต้องการออก แล้วก็ใช้เครื่องมือ Clone Stamp คลิกทับบริเวณที่เราไม่ต้องการนั้น ส่วนที่เราไม่ต้องการนั้นก็จะหายไป
ซึ่งเราสามารถปรับขนาดของ Clone Stamp ตามต้องการได้ที่ เมนูบาร์
เพียงเท่านี้ส่วนเกินที่เราไม่ต้องการบนภาพก็จะหายไป
[17] การทำ mosaic เพื่อการ เซ็นเซอร์ภาพ
การทำ mosaic เพื่อการเซ็นเซอร์ให้กับภาพ
1. เตรีียมภาพที่ต้องการเซ็นเซอร์ขึ้นมา
2. ใช้ Rectangular Marquee Tool ครอบจุดที่ต้องการ เซ็นเซอร์
3. ไปที่ Filter > Pixelate > Mosaic
4. จากนั้นจะมี Tool มาให้เลือกว่าจะทำ Mosaic ให้หนา หรือ บางแค่ไหน แล้วกด OK
5. เท่านี้เราก็จะได้ ภาพ เซ็นเซอร์แบบ mosaic แล้วล่ะครับ
[18] การใช้เครื่องมือ Gradint Tool
การใช้งาน Gradint Tool
ขั้นตอนแรกของ Gradint Tool นั้นอยู่ก่อนที่จะเลือกใช้ งาน Gradint Tool ด้วยซ้ำไปครับ แต่กลับไปอยู่ที่การเลือก Foreground และ Background ให้เป็นคนละสีกันเท่านั้นนะครับ
ตัวอย่าง ผม ทำเป็นสี มาตรฐานให้ดูกันง่ายๆนะครับ คือ สีดำ กับ สีขาว
ต่อมา ไปที่ถังสี และคลิกขวา เปลี่ยน ถังสีให้เป็น Gradint Tool (บางเครื่องจะเป็น Gradint Tool อยู่แล้วแต่ปรกติ ค่า Default จะเป็น ถังสี ครับ)
จากนั้นรูปแบบของ เมาส์จะกลายเป็น กากะบาท จะต่างจาก กากะบาทของ Rectangular Marquee Tool นิดหน่อยตรงที่มี จุดหัวท้าย
เมนูด้านบนคือ
ถ้าเลือกอันแรก แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 2 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 3 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 4 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
ถ้าเลืิอก อันที่ 5 แล้ว ลาก เพื่อทำการใช้งาน ผลลัพธ์ คือ
คงจะไม่ยากนะครับ
[19]
เทคนิคการทำภาพถ่าย กลาย เป็นภาพ เขียน สีน้ำ ด้วย Photoshop 7.0
มาทำภาพถ่ายให้กลายเป็นภาพ สีน้ำ กันเถอะ
1.เตรียมภาพที่ต้องการใช้ขึ้นมา
2. ไปที่ Filter > Artistic > Paint Daubs
2. ปรับ ระดับ สีแปรง และ ความละเอียดตามความต้องการ
3. แค่นี้ก็จะได้ ภาพ เขียนสีน้ำ จากภาพภ่ายแล้วครับ
[20] การทำแว่นขยายด้วย Photoshop
1. เตรียมภาพที่ต้องการใช้งาน มาก่อนเลยครับ เป็นรูปใหญ่ๆ นะครับ อันนี้ผมย่อให้ดูเป็นตัวอย่างเฉยๆ
2. เตรียมรูปแว่นขยายไว้ ไดคัดให้เรียบร้อย
3. นำรูปแว่นขยายไว้ด้านหน้ารูป
4. ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Layar รูปแว่นขยาย เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมา Blend Mode เลือก Multiply เลือกสีดำ Opacity = 59 % Distance = 3px Size = 6 px
>>>
5. ใช้ Eliptical Marquee Tool ทำ Selection ด้านในกด Ctrlc + C และ Ctrl+v เพื่อทำให้รูปอยู่ใน Layer ใหม่
>>>
6. เลือก Move-Tool แล้วเลือก Show Bounding Box จากนั้นไปที่ select > inverse selection แล้ว ย่อรูปรอบนอก
>>>
>>>
>>>
>>>
7 . เลือกดับเิบิ้ลคลิกที่ Layer 3 (ที่เป็นกลม ๆ อย่างเดียวอ่ะครับ) เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก Blend Mode เลือก Normal Opacity = 51% Distance = 5px Size = 50 px จากนั้นเลือก Stroke เลือก Size 6 เลือก สีดำ
>>>
>>>
>>>
8. จากนั้นทำเงาสะท้อนด้วยการเปิด Layer ใหม่มาอีก 1 Layer ใช้ Eliptical Marquee Tool ทำ Selection เป็นวงรีด้านหน้าสุด จากนั้นใส่สีขาวลงไป
>>>
9. จากนั้นตัดให้พอดีกับขอบกับแว่นขยาย จากนั้นดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Layer นี้ เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก
>>>
ผลลัพท์ จะได้ดังนี้ครับ
**** ถ้าท่านต้องการรูป แว่นขยายแบบเดียวกับผม ดาวน์โหลดที่นี่ครับ Download
[21]กระดาษปลิว ด้วย Photoshop
1. Ctrl + N เพื่อเปิด เอกสารใหม่ขึ้นมาเลือก Contents เป็น White
2. นำภาพที่ต้องการใช้งานมาวางไว้
3. เปิด Layerใหม่ ขึ้นมาด้านล่างรูปที่ต้องการใช้ลงสีขาวใน Layer นี้
4. ใน Layer นี้ใช้ Reatangular Marquee Tool ลากทำ Selaction ด้านนอกของรูปภาพจากนั้นกด Ctrl + Alt +I เพื่อ Inverse จุด Selaction ให้อยู่รอบนอก แล้วกด Delete
ผลของ Ctrl + Alt +I
5. กลับขึ้นไปที่ Layer ที่เป็นรูป กด Ctrl+E เพื่อ Merge Down (รวมภาพ) กับภาพสีขาวที่ทำไว้เมื่อกครู่
ผลของ Ctrl + E
6. ดับเบิ้ลคลิก ที่ Layer นี้เพื่อเปิด Layer style ขึ้นมาเลือก Drop Shadow ปรับแต่งเงาตามใจชอบเลยครับ
ปรับ Layer style
ผลของการใส่ Layer style
7. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Perspective ดึงช่วงล่างเล็กน้อย
ดึงจากมุมภาพเพียงเล็กน้อยพอนะครับ
ผลของการดึงภาพ
8. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Rotate 90 CW
ผลของ Edit > Transform > Rotate 90 CW
9. จากนั้นไปที่ Filter > Distort > Shear และจากนั้นปรับความ โค้งงอ ของภาพตามต้องการ
ส่วนของ Shear
ผลของ Shear
10. จากนั้นไปที่ Edit > Transform > Rotate 90 CW อีกครั้ง เพื่อให้ภาพกลับมาเป็นแนวนอนเหมือนเดิม
แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ
คุณอาจปรับแต่ง background ใหม่ตามชอบเลยนะครับ
[22]
การทำภาพขาว - ดำ ให้เป็นภาพสี
1. เตรียมภาพขาวดำ ที่ต้องการเปลี่ยนเป็นภาพสีขึ้นมา
2. ใช้ Pen Tool ทำ Selection ในส่วนใบหน้าและจุจอื่นที่ต้องการให้เป็นสีเนื้อ
3. จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีที่ใกล้เคียงสีเนื้อของผิวคน จากนั้นไปที่ในส่วนของ Layer เพื่อเพิ่ม Layer ใหม่และไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ ด้านใน จุด Selection ที่ทำไว้อยู่ใน Layer ใหม่นะครับ
จากนั้นมาเพิ่ม Layer
เมื่อเทสีลงไปจะเห็นภาพแบบนี้
4. เปลี่ยนค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color
เมื่อเปลี่ยนค่า Blending
5. จากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ใส่วนของตาและปากใน Layer ที่เป็นสีเนื้อและกด Delete
เมื่อตัดส่วนตาและปากออก
6. จากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ใส่วนของปากเพิ่ม Layer ใหม่ ไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีที่ใกล้เคียงสีของปากคนแล้วไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ ด้านในจุด Selection ที่ทำไว้ อยู่ใน Layer ใหม่นะครับ
จากนั้นมาสร้าง Layer ใหม่
มาเลือกสี
หลังจากนั้นก็เทสีลงไป
7. เปลี่ยนค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color เช่นกันจากนั้นใช้ Pen Tool ทำ Selection ในส่วนเส้นผม
ผลจากการเปลี่ยนค่า Blending
ทำ Selection
8. จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีของเส้นผม เพิ่ม Layer ใหม่ แล้วไปที่ ถังสี แล้วเทสีใส่ด้านใน จุด Selection ที่ทำไว้อยู่ใน Layer ใหม่นะครับเปลี่ยน ค่า Blending ในส่วนของ Layer ให้เป็น Color เช่นกัน
หลังจากนั้นให้สร้าง Layer ใหม่
เปลี่ยนค่า Blending
ผลของการเปลี่ยนค่า Blending
9. จากนั้นกลับไปที่ Layer ที่เป็นส่วนของสีผิว กด Ctrl+U เพื่อปรับสีผิวให้สดใสมากขึ้น
การ Hue สี
ผลลัพธ์ของการ Hue
10. จากนั้นกลับไปที่ Layer ที่เป็นส่วนของปาก กด Ctrl+U เพื่อปรับสีปากให้สดใสมากขึ้น
กด Ctrl+U และ Hue
ผลของการ Hue
11. จากนั้นกลับไปที่ Layer ในส่วนของเส้นผม ไปที่ Select > Color Range ใช้ Eyrdroppel Tool เลือกจุด Selection ที่เส้นผม (Color Range จะทำ Selection ให้โดย อัตโนมัติ ไม่ต้องสนใจว่า Selection จะเกินเส้นผมหรือไม่ เพราะ Layer นี้เรามีแต่เส้นผมอยู่แล้วครับ) แ้ล้วกด Ctrl+U เพื่อปรับสีผมให้สดใสมากยิ่งขึ้น
Select > Color Range
เลือกจุด Selection ด้วย Color Range
ผลของ Color Range
ผลของการปรับสี
12. ตอนนี้ ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่า สีผิวนั้นอาจจะยังไม่ค่อยเนียนนะครับ ให้เพิ่ม Layer มา 1 Layer โดย Layer นี้ให้ปรับ Opacity ประมาณ 25% นะครับอยู่หน้า Layer สีผิว จากนั้นไปที่ Color ด้านข้าง เลือกสีในลักษณะ สีรองพื้น (ของแ้ป้งพับ เช่น สีออก น้ำตาล แดง หรือสีที่ใกล้เคียงสีเนื้อ)
เลือกสี
ปรับ Opacity
13 ใช้เครื่องมือ Bush Tool ปรับ Opacity : ประมาณ 26% เลือก Bush แบบฟุ้งแล้วค่อยๆ ระบายที่สีผิว
จากนั้นเปรียบเทียบรูปกับรูปต้นฉบับนะครับ
Before (รูปต้นฉบับ)
After (รูปทีีทำการเปลี่ยนสี)
[23]เปลี่ยนสีมะเขือเทศในพริบตาด้วย Color Replacement
ขั้นตอนที่ 1
เปิดโปรแกรม Adobe Photoshop CS ขึ้นมา จากนั้นก็ไปเปิดไฟล์รูปภาพที่ต้องการจะแก้ไขสีของรูปภาพขึ้นมา โดยการคลิ้กที่เมนูคำสั่ง File > Open... จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Open ให้คลิ้กเลือกโฟลเดอร์และเลือกรูปภาพที่ต้องการ เมื่อได้รูปภาพที่แล้วให้คลิ้กปุ่ม Open
ขั้นตอนที่ 2 :
เมื่อแสดงรูปภาพที่ต้องการในหน้าต่างโปรแกรมแล้ว ให้ไปคลิ้กเลือกสีที่ต้องการจะแทนที่สีเดิม ในส่วน ฟอร์กราวนด์ จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Color Picker เพื่อคลิ้กเลือกเฉดสีที่ต้องการ เมื่อได้สีที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ให้ไปคลิ้กปุ่ม OK
ขั้นตอนที่ 3 :
ให้ไปคลิ้กที่เครื่องมือ Color Replacement Tool จากส่วน Tools ในส่วนนี้จะมีเครื่องมืออยู่ 3 ส่วนอาจแสดงส่วนใดส่วนหนึ่ง ได้แก่ Healing Brush Tool, Patch Tool, Color Replacement Tool
ขั้นตอนที่ 4 :
ก็มาถึงเวลาที่สำคัญในการแปลงโฉมมะเขือเทศของเราแล้ว โดยให้ใช้เครื่องมือ Color Replacement Tool ป้ายลงไปบนพื้นผิวของรูปภาพที่ต้องการ แต่หากเคอร์เซอร์เป็นรูปเครื่องหมายวงกลมแล้วมีขีดขวาง (Image-005.jpg) ต้องไปเปลี่ยนโหมดของรูปภาพให้เป็น RGB Color เสียก่อนโดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง Image > Mode > RGB Color
ขั้นตอนที่ 5 :
ค่อยๆ ใช้เมาส์ละเลงสีไปเรื่อยๆ เมื่อใช้เมาส์ระบายหรือป้ายสีลงบนผลมะเขือเทศจนทั่วถึง เรียกว่าหาสีเดิมไม่เจอแล้ว คราวนี้ก็จะได้สีใหม่ของมะเขือเทศเป็นผลใหม่ไฉไลกว่าเดิมทันที อาจเมื่อยมือบ้างแต่ก็สนุกดีใช่มั้ยครับ
[24]
Smart Tip แต่งภาพ: ลดความสว่างส่วนเกิน
ภาพถ่ายที่สว่างเกินไป (Overexposed) จะสูญเสียรายละเอียดในส่วนที่สว่างไปอย่างที่ไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ดังนั้นการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลให้เผื่อให้มืดเล็กน้อย ดีกว่าที่จะให้ภาพสว่างเกินไป
ในตัวอย่างนี้ บริเวณที่เราสนใจคือเรือสว่างจนขาว เราพอจะช่วยให้ภาพนี้ดูดีขึ้นได้โดยการลดความสว่างลง แต่ถ้าเราลดความสว่างทั้งภาพ ก็จะทำให้บางส่วนมืดดำไปเลย ด้วยวิธีนี้เราสามารถเลือกลดความส่วนเฉพาะส่วนที่สว่างมากๆ ได้
1. เมื่อเปิดภาพที่จะแก้ไขขึ้นมาแล้ว กดคีย์ Ctrl+Alt+~ เพื่อเลือกเฉพาะส่วนที่สว่างขึ้นมา จะเห็นกรอบเส้นประในบริเวณที่เลือก
2. กดคีย์ Ctrl+J เพื่อคัดลอกเลเยอร์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งในเลเยอร์ที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ จะมีเฉพาะส่วนสว่างของภาพที่เลือกไว้ติดมาเท่านั้น
3. คลิกเลือกเลเยอร์ใหม่นี้ แล้วปรับความสว่างโดยใช้เครื่องมือ Levels โดยเลือกที่ Image > Adjustments > Layers
4. ปรับลดความสว่างโดยลากหัวลูกศรสีเทา (อันกลาง) ไปทางขวา ดูผลลัพธ์ที่ได้จนพอใจแล้วคลิกปุ่ม OK ก็จะได้ภาพที่มีรายละเอียดดีขึ้น
[25]
โคลนนิ่งอย่างงายโดยใช้ Layer Mask
1. เลือกรูปมาโดยรูปต้องเป็นรูปที่มีสถานที่เดียวกัน ถ้าใช้ขาตั้งกล้องถ่าย จะทำให้รูปดูเนียนขึ้น และไม่ต้องแต่งอะไรมาก
2. นำรูปเข้ามาไว้ใน photoshop
3. เลือกที่ layer2 จากนั้นให้ click add layer mask
4. จากนั้นเลือก Rectangular Marquee Tool ---> ลากในส่วนพื้นที่ที่คู่แฝดเรายืนอยู่
5. click ขวาที่ layermask --> disable layer mask ---> เทสีดำบริเวณที่เราเลือกไว้ในข้อ 4.
6. click ขวา ---> enable layer mask
[26]
ทำริมฝีปากให้สวยงามด้วยLip Gloss โดย Photoshop
1. เปิดรูปที่ต้องการในโฟโต้ช้อป
2. ใช้ Pen Tool ในการเลือกรูปริมฝีปากค่ะ แล้วทำการกด Ctrl+C แล้วจึง Crtl+V
3. ไปที่ Filter>Artistic>Plastic Wrap ตั้งค่าได้เลยค่ะ จะออกมาคล้ายๆกับรูปด้านล่าง
4. ทำการตกแต่งให้สวยงามโดยเลือกตั้งค่าเป็น Lighten , Overlay หรือ Screen ก็ได้ค่ะ แล้วแต่ความสวยงามนะคะ
เรียบร้อยแล้วค่ะ ริมฝีปากที่สวยงามด้วย Lip Gloss
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
หลักๆก็มีเพียงเท่านี้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)